วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

[OS] Our Word - MiNewt

Title : Our Word
Paring : MiNewt
Rate : PG-13
Author : PAR




====================





"ฉันคงช่วยได้เท่านี้ ฝากที่เหลือด้วย แต่อย่าอยู่ดึกนะนิวท์ พักผ่อนเยอะๆ ผอมขนาดนี้อย่าว่าแต่โศกาเลย ลมพัดนายก็ตายแล้ว"


อดขำออกมาไม่ได้กับประโยคส่งท้ายของน้องชายจ้ำม่ำ ตอบรับกลับไปเพียงรอยยิ้มขำแล้วโบกมือส่งๆ


"เอาล่ะ เหลืออีกนิดเดียวแล้ว" พึมพำกับตัวเองเบาๆเมื่อชัคเดินหายไป มือสองข้างตอกนู่นมัดนี่ สาละวนก้มๆเงยๆกับการซ่อมประตูกระท่อมที่ใช้เป็นห้องพยาบาล สถานที่ที่เขาเองคุ้นเคยดี มีทั้งการรักษาให้หายดี และการบรรเทาให้จากโลกนี้ไปด้วยความทรมานน้อยที่สุด


นิวท์จ้องมองบานประตูตรงหน้า หลายคนที่ผ่านมันเข้าไป บ้างก็ได้รับโอกาสจากพระเจ้าให้ออกมาโดยที่ยังมีจิตวิญญาณ และบ้างก็ออกไปได้เพียงร่างกายว่างเปล่าเท่านั้น


เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยเข้าไป และเป็นอีกหนึ่งคนเช่นกันที่ได้รับโอกาสให้มีชีวิตต่อ


แม้ชีวิตหลังจากนั้นจะไม่เหมือนเดิม แต่มันก็ดีมากแล้วที่เขายังอยู่


จมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนกอดอกยืนมองมาได้พักหนึ่งแล้ว และคนๆนั้นก็กำลังเดินเข้ามา จนกระทั่งเงาดำพาดลงมาทาบทับนั่นแหละ นิวท์ถึงได้รู้ตัวและหันไปมอง


"มินโฮ?"


เจ้าของชื่อพยักหน้าให้เล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบาง "ทำอะไรอยู่"


ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ พอดีกับที่ตะปูเล็กตัวสุดท้ายถูกตอกลงไปจนจมมิด โยนอุปกรณ์ทุกอย่างลงในกระสอบผ้า ปัดมือนิดๆก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูงเผชิญหน้ากับอีกคน


"ซ่อมประตู ยังไม่นอน?" มินโฮอดอมยิ้มไม่ได้กับเอกลักษณ์ของร่างตรงหน้า


ประหยัดคำพูดและน้ำเสียงราบเรียบ ขัดกับตัวผอมๆและหน้าตาแบบนั้นซะจริง


"ก็ได้ยินเสียงโป๊กๆนี่แหละเลยตื่น"


"อา โทษที ตอนนี้เสร็จแล้วล่ะ กลับไปนอนเถอะ" พูดจบก็ทำท่าจะเบี่ยงตัวเดินกลับที่พัก ไม่อยากชวนคุยนานกว่านี้ มินโฮเป็นนักวิ่ง แน่นอนว่าเขาต้องเหนื่อย การพักผ่อนให้เพียงพอคงจะดีที่สุด ทว่านักวิ่งคนเก่งกลับยกแขนขึ้นมากันทางไว้ไม่ให้นิวท์เดินหนี


ร่างโปร่งหันกลับไป หลุบตาลงมองท่อนแขนแกร่งแล้วเงยขึ้นสบตาอีกฝ่าย เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม


"อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน"


งงหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดจากคนตรงหน้า กำลังจะอ้าปากถามแต่ก็กลายเป็นเสียงอุทานแทนเมื่อมินโฮค้ำมือลงที่กรอบประตูแล้วค่อยๆสาวเท้าเข้ามาใกล้จนนิวท์ต้องถอยออกห่าง


"นี่ ทำอะไร?" รู้ตัวอีกทีทั้งคู่ก็เข้ามาอยู่ด้านในกระท่อม ไม่พอมินโฮยังดันบานประตูที่เพิ่งซ่อมเสร็จให้ปิดลง


ตัดขาดจากภายนอกสมบูรณ์แบบ


"มินโฮ มีอะไ.." ถามยังไม่ทันจบก็โดนดึงเข้าไปกอด เพราะความตกใจทำให้เผลอร้องออกมาและดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของอีกคน กลัวว่าจะมีคนเปิดเข้ามาเห็นแม้มันจะดึกมากแล้วก็ตาม สองมือทั้งทุบทั้งดัน แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับมีเพียงความเงียบและวงแขนที่กระชับแน่นมากขึ้น


"ชู่ว เฉยๆน่า"


"ฮื้อ!"


หอบหายใจน้อยๆหลังจากหยุดดิ้น หุ่นแบบเขาจะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับนักวิ่งได้ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจการกระทำของคนที่กำลังกอดตนอยู่ พอหายตกใจก็เพิ่งสัมผัสได้ว่าอ้อมกอดที่ได้รับนั้นไม่ใช่การกลั่นแกล้งเหมือนทุกครั้งที่มินโฮชอบทำเพื่อกวนประสาทเขา สิ่งที่ทำได้จึงเป็นเพียงแค่การยืนนิ่งในวงแขนของชายหนุ่มชาวเอเชียอยู่แบบนั้น


"มินโฮ..?" นิวท์เม้มปากแล้วค่อยๆยกมือขึ้นลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ และเหมือนว่านั่นจะทำให้เขาถูกกอดแน่นขึ้นจนเกือบจะหายใจไม่ออกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร บางอย่างบอกให้เขายกแขนขึ้นกอดตอบอีกคน


ถึงตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่าอะไรทำให้มินโฮเป็นแบบนี้


หมอนี่เป็นพวกแสดงออกทางการกระทำมากกว่าจะมานั่งพูดนั่งสาธยาย ระยะเวลาสามปีที่อยู่ด้วยกันมานั้นนานพอจะทำให้นิวท์รู้ว่าตอนนี้มินโฮกำลังมีเรื่องกังวลใจ


"เหงาเหรอเด็กน้อย" ถ้อยคำหยอกล้อเปล่งออกมาจากปากพร้อมรอยยิ้มบาง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของร่างหนาดังอยู่ข้างหู


ไม่รู้นานแค่ไหนที่ทั้งคู่กอดกันอยู่แบบนั้น จนกระทั่งเป็นมินโฮเองที่ผละออกมา ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง มือใหญ่ยกขึ้นลูบข้างแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ จนคนถูกสัมผัสทำตัวไม่ถูก มือไม้ข้างตัวเริ่มเกะกะ พอจะเอาไพล่หลังก็โดนอีกคนดึงไปวางบนไหล่ หนำซ้ำสายตาก็ไม่รู้จะโฟกัสตรงไหน เงยหน้าขึ้นไปเจออีกคนจ้องอยู่ก็ทำเก่งจ้องกลับได้ไม่นาน สุดท้ายต้องหลุบตาลงมองสาบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน จ้องมันอยู่แบบนั้นจนได้ปรากฏรอยยิ้มขำจากเจ้าของเสื้อ


"นิวท์ เงยหน้าหน่อย" เสียงทุ้มที่จับได้ว่าดังอยู่ใกล้มากทำให้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไป มือที่ค้างอยู่บนไหล่กว้างเริ่มกำเข้าหากัน


"นาย.. มีอะไรจะพูดก็พูดสิ" น้ำเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน มินโฮยังคงเงียบ มือใหญ่ค่อยๆเลื่อนไปเชยคางคนตรงหน้าให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา นิวท์เม้มปากแน่นก่อนจะผ่อนลมหายใจช้าๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาใกล้ชิดกัน แต่นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาทำตัวไม่ถูกขนาดนี้


ใบหน้าดูดีในแบบเอเชียค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของทั้งคู่ไร้ช่องว่าง สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ติดขัดของกันและกัน โดยเฉพาะคนในอ้อมแขนที่ดูเหมือนจะเกร็งขึ้นมาดื้อๆ เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มประดับขึ้นตรงมุมปากของมินโฮ


"ไม่เห็นต้องสั่นขนาดนี้เลย หื้ม?" เพราะระยะห่างที่แทบจะไม่เหลืออยู่เลยทำให้ริมฝีปากของพวกเขาเฉียดกันไปมาเบาๆยามขยับปากพูด มินโฮเอาแต่ยิ้มต่างจากนิวท์ที่รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ทั่วปอด พยายามเอนหน้าออกห่างแต่อีกคนไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ล็อคเอวไว้แล้วโน้มหน้าตามลงมา และนั่นทำให้มีมากกว่าหนึ่งครั้งที่ริมฝีปากของพวกเขาทั้งคู่แตะกัน


บ้าเอ๊ย สุดท้ายก็หยุดกวนประสาทได้ไม่นาน


นิวท์เริ่มดิ้น ทำท่าจะผลักอีกคนออก ใบหน้าและหูเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆเมื่ออีกคนเอาแต่หัวเราะ ปากบางเม้มแน่นเมื่อแขนแกร่งโอบรอบลำตัวเขาไว้ไม่ให้หนี


"นิวท์"


"ไม่ต้องมาเรียก ปล่อยฉัน ไอ้ปลวกกวนประสาท" กำปั้นเล็กๆ ชกเข้าไปหนึ่งอั่กที่อกหนาจนมินโฮต้องคว้าข้อมือไว้ เพราะกำปั้นที่มีแต่กระดูกนี่แหละมันถึงเจ็บ


"นิวท์"


"อะไร!"


"ฉันรักนายนะ"


"...."


ประโยคเดียวสั้นๆแต่หยุดทุกความเคลื่อนไหว คนฟังเม้มปากผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ กำปั้นแปรเปลี่ยนเป็นฝ่ามือบางวางทาบไปกับอกกว้างจนเจ้าของมือรับรู้ถึงสิ่งที่เต้นตึกตักอยู่ภายใน นิวท์เงยหน้ามองร่างสูงแล้วก็ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับมา


รอยยิ้มแทนคำที่บอกว่าหัวใจดวงนี้ยังเต้นอยู่ และตอนนี้มันก็เต้นแรง


ไม่ต่างกันกับอีกหนึ่งดวงที่กำลังเต้นแรงและพองโต เป็นอีกครั้งที่มือใหญ่เอื้อมไปเชยคางร่างตรงหน้า สบตากันนิ่งๆก่อนจะโน้มหน้าลงไปหาและแนบริมฝีปากลงกับเรียวปากนุ่มที่เงยขึ้นรอรับสัมผัส


ไม่มีอะไรมากกว่าการบดคลึงเบาๆหากแต่ชัดเจนในความรู้สึก สองมือบนแผ่นอกเริ่มเลื่อนเข้าหากันจนกลายเป็นโอบรอบคอ เช่นเดียวกันกับวงแขนแข็งแรงที่โอบกอดอีกคนไว้อย่างรักใคร่


"..รู้แล้ว" นิวท์พึมพำเบาๆหลังผละริมฝีปากออกจากกัน หลับตาแล้วพิงหน้าผากลงกับปลายคางของร่างสูง กลายเป็นเขาเองที่กอดมินโฮแน่นเหมือนกับที่โดนกอดในตอนแรก สัมผัสจากริมฝีปากอีกคนประทับหนักๆลงที่ไหล่ผอม


ไม่อยากคิดว่าเราจะมีโอกาสได้บอกคำๆนี้ให้กันฟังอีกกี่ครั้ง


ชีวิตที่เหมือนจะมีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ อยู่กับความหวาดระแวง และแทบสิ้นหวัง


เขาพอจะเดาได้ว่ามินโฮกำลังกังวลเรื่องนี้ มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นหลังจากโทมัสถูกส่วมาที่นี่ แม้ในความคิดเขาจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ชาวทุ่งต้องเสี่ยง


แต่สิ่งที่แน่นอนคือตราบใดที่ยังมีโอกาส


ตราบใดที่มินโฮยังอยู่


และเขายังอยู่


"ฉันก็รักนาย"


พวกเขาจะยังได้ยินคำคำนี้จากกันและกัน



..ทุกวัน..





====================





Special




"ไงโทมัส"

"ไง เมื่อคืนนายไปนอนไหนมาน่ะนิวท์"

"ก็.. นอนที่ของฉันสิ"

"อ้อเหรอ ฮึๆ"

"อะไรของนาย" อย่าบอกนะ..

"เปล่า ก็นึกว่าหนีไปนอนแถบๆทวีปเอเชีย"

"....." หมดกัน

"ฮ่าๆๆ อย่าทำหน้าเครียดสิ ฉันร้อนเลยตื่น มองไม่เห็นนายที่เปลก็เลยถามดู ไม่ได้ไปเห็นอะไรซะหน่อย"

เออ ไม่เห็นหรอก แต่แซวซะอยากเนรเทศออกนอกทุ่ง

"แล้ว.."

".....?"

"ฝันดีมั้ย"

"....."

"หรือไม่ได้นอน?"

.

.

.

.

.

.

.

.

.

"หุบปาก! ไหนบอกว่าไม่เห็นไง!"



END


Talk }}

เราก็ไม่เห็นอะไรนะ ...จริงๆ

หุบปาก! <-- นิวท์ได้กล่าวไว้









[OS] Don't call my name - Dylan×Thomas

Title : Don't call my name
Paring : Dylan × Thomas
Rate : PG-13
Author : PAR




####################



หงุดหงิด






คำนี้คำเดียวเท่านั้นที่จะใช้จำกัดความอารมณ์ของเขา ณ ตอนนี้ได้


ปึ่ก


มีดพร้าขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กถูกเหวี่ยงไปฟันเข้ากับเสากระท่อมที่พักนักแสดง ซึ่งคนที่ทำก็หวังจะให้การทารุณกรรมเสาครั้งนี้ช่วยให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง


"เฮ้ เป็นอะไรไป?" เสียงทักดังขึ้นจากด้านหลังมาพร้อมกับมือปริศนาที่เรียกได้ว่าเกือบจะตบลงบนไหล่ ไม่หันไปมองก็รู้ มือหนักแบบนี้


"ไม่ไปซ้อมคิวเข้าฉากแล้วหรือไง" น้ำเสียงราบเรียบตามแบบฉบับเอ่ยตอบกลับไป หากแต่มืงก็ยังคงควงมีดพร้าที่ใช้ประกอบฉากไปด้วยเบาๆ มีพื้นดินตรงปลายเท้าเป็นจุดโฟกัสสายตา


กีฮงที่เห็นแบบนั้นต้องเลิกคิ้วมอง


ก็เข้าใจว่า โทมัส แซงสเตอร์ เป็นคนพูดน้อยและสุขุมอยู่พอสมควร แต่ไอ้บรรยากาศเหมือนมีแรงดันวิญญาณพุ่งเข้าใส่นี่มันคืออะไร?


"ซ้อมเสร็จแล้ว ตอนนี้เป็นพวกแกลลี่กับโทมัส" จงใจใช้สรรพนามเป็นชื่อของตัวละครที่เพื่อนอีกสองคนได้รับบทแสดง เริ่มเปิดกล้องถ่ายทำมาได้สักพักก็ทำให้ผู้กำกับและนักแสดงทุกคนรวมถึงตัวเขาเองเกิดความเคยชินจนเรียกชื่อตัวละครบ้าง ชื่อในชีวิตจริงบ้าง สับสนปนเปกันไปแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการสื่อสารเท่าไหร่นัก


ปึ่ก!!


"โว่ว! ระวังหน่อยโทมัส โมโหอะไรอยู่เนี่ย?" ถึงกับสะดุ้งเมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สะบัดข้อมือฟันมีดพร้าลงไปบนเสาไม้อีกรอบ เศษไม้เล็กๆแตกและตกใส่รองเท้าของกีฮง ขมวดคิ้วมองคมมีดที่ฝังลงไปในเนื้อไม้ก็รู้ได้เลยว่าคนฟันต้องใช้แรงมากพอสมควร


"หมายถึงดีแลนน่ะเหรอ?"


"ห้ะ?"


"เปล่า ช่างมัน ฉันไปท่องบทก่อนนะ"


ตอบตัดบทแล้วขยับตัวลุกเดินออกมาจากบริเวณนั้นทันทีเมื่อเห็นว่าอีกคนที่มีชื่ออยู่ในบทสนทนากำลังเดินมาทางนี้ และเขาไม่อยากร่วมวงสนทนาอีกต่อไป ไม่ว่ากรณีใดๆ


เห็นหน้าแป้นๆกับยิ้มทะเล้นนั่นแล้วยิ่งหงุดหงิด!


"โทมัส จะไปไหน" เสียงเรียกดังมาแว่วๆ แต่เขาไม่ได้สนใจ เนียนก้าวยาวๆไปหามุมเงียบเพื่อสงบสติอารมณ์ อีกเดี๋ยวต้องเข้าฉากแล้ว และเขาต้องมีสมาธิ


ยังไม่ทันได้มองหาทำเลสงบ เสียงผู้กำกับก็ดังผ่านโทรโข่งมาทางที่พวกเขายืนอยู่


"โทมัส! มาตรงนี้ที"


เจ้าของชื่อถอนหายใจ ปรายตามองคนที่เดินตามหลังตัวเองมาเมื่อครู่แล้วเบี่ยงตัวเดินตรงไปทางผู้กำกับ


"อ่า! ไม่ๆ ไม่ใช่นาย ฉันหมายถึงโทมัส ดีแลนน่ะ เร็วเข้า"


เหมือนจะได้ยินเสียงเศษหน้าร่วงลงสู่พื้นหญ้าเขียวขจี


จะไม่แค้นเลยถ้าดีแลนไม่หลุดขำออกมาลั่นทุ่ง หมอนี่รู้ว่าเขาไม่ชอบเรื่องนี้เพราะมักจะหน้าแตกอยู่บ่อยๆ


ครั้งนี้นับเป็นรอบที่สามของวัน


บัดซบ!


แล้วตัวต้นเหตุยังมีหน้ามายิ้มให้ ทั้งที่เขาเป็นพี่แต่มันดันเอื้อมมือมายีหัวจนฟูขึ้นกว่าเดิม ยังไม่ทันได้ด่าก็วิ่งเริงร่าในท่าอลิซอินวันเดอร์แลนผ่านหน้าเขาไป


มันน่าสับให้เละนัก..


อยากเปลี่ยนชื่อโว้ย!








END








Talk }}
สั้นกว่านี้ก็ขนตาบาร์บี้แล้วค่ะ 55555555555
ลามมาถึงชีวิตจริงของหนุ่มๆเค้าเลยทีเดียว มโนแค่ไหนคิดดู



[OS] Call you mine - Markson



Title: Call you Mine


Paring: Mark x Jackson (Markson)


Rate: PG-13


Author: PAR






------------------------------------------------------------------------------------------------






เวลาว่างคุณชอบทำอะไร?






มีบางคนชอบฟังเพลง






แต่ผมชอบมองคนที่กำลังฟังเพลง






“ฮึๆ” อดขำออกมาไม่ได้เพราะคนคนนั้นที่ผมว่ากำลังหลับตาพริ้ม ลำคอขาวขยับยึกยักไปมา คาดว่าน่าจะเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลงที่กำลังเปิดอัดหูด้วยเดซิเบลที่ไม่น้อยเลยทีเดียว






แจ็คสันก็เป็นแบบนี้






ถ้าเจอเพลงที่ชอบก็จะเปิดฟังอยู่เพลงเดียวซ้ำๆ จมอยู่กับมันโดยมีเฮดโฟนราคาแพงเป็นตัวช่วยในการตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก ดื่มด่ำจนกว่าจะพอใจ






โน๊ตบุ๊คบนตักมีค่าความน่าสนใจเป็น 0 เมื่อคนในสายตาเริ่มยิ้มอย่างมีความสุขกับท่วงทำนองในหู ปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มอยากรู้ เพลงที่ฟังอยู่มันจะเพราะขนาดไหนกันเชียว






“แจ็คสัน”






ไม่หัน ไม่แปลกใจหรอก อยู่ด้วยกันมาหลายปี ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกหมาตรงหน้านิสัยยังไง






นึกแล้วก็ขำขึ้นมาอีกรอบ เท้าคางมองมันซะเลย เพลินดี แล้วก็อย่างที่บอก เดาได้เลยว่านั่นคงจะเปิดวนอยู่แค่เพลงเดียว ปากแดงๆ พึมพำเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ ใบหน้าเปื้อนยิ้มยังคงโยกไปมาช้าๆ






น่ารัก






ยิ้มนั้น บนใบหน้านั้น จากที่ละสายตามาเฉยๆ ตอนนี้โน๊ตบุ๊คถูกพับลงแล้ววางไว้ข้างตัว ตั้งอกตั้งใจมอง มองเป็นล่ำเป็นสัน มองจริงจัง ถามว่ายิ้มตามมั้ย






จะเหลือเหรอ






อาจจะจบเพลงไปแล้วซักสองรอบ หรือสาม ไม่แน่ใจ อยู่ดีๆ แจ็คสันก็หันมา ผมไม่ได้สะดุ้งหรือตกใจที่โดนจับได้ว่าแอบมอง เหมือนกันกับที่อีกคนก็ไม่ได้แสดงอาการขวยเขินเงอะงะ ปฏิกิริยาของเขามีเพียงแค่การยักคิ้วสองทีถ้วน






แก้มของแจ็คสันนูนขึ้นนิดๆ เพราะเจ้าตัวขยับลิ้นดุนเล่น กรอกตาไปด้านข้างเหมือนกลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะอมยิ้ม ขยับเข้ามาใกล้แล้วถอดเฮดโฟนใส่ให้ผมแทน ก่อนที่มือขาวจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเป้ใบโปรด เปิดซิปแล้วควานมือลงไปในนั้น ไม่ถึงนาทีก็ได้ปากกาติดขึ้นมา รูดซิปปิดแล้วโยนส่งๆไปไว้ข้างที่นอน






ผมเพ่งประสาทสัมผัสการยินไปที่เพลง จังหวะและท่วงทำนองที่ได้ยินทำให้ไม่แปลกใจว่าทำไมแจ็คสันถึงชอบ






มันเพราะจริงๆ






“Mark, give me your hand.” หันมาออกคำสั่งพร้อมกับแบมือมาตรงหน้า พอเลิกคิ้วเป็นเชิงถามก็ได้รับการกวักมือยิกๆ เร่งให้ทำตามที่ขอ จนสุดท้ายต้องยอมยื่นมือขวาไปให้






ไร้คำพูดใดๆ แจ็คสันใช้ปากคาบปลอกปากกาไว้แล้วก้มลงเขียนบางอย่างลงบนมือผม เขียนเสร็จก็โยนปากกาไปรวมกับเป้แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างให้






Can I?






คำสั้นๆที่อยู่บนมือทำให้ผมยิ้มได้ไม่ยาก เพลงที่ฟังอยู่ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าอีกคนหมายถึงอะไร อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าไปหา แนบริมฝีปากลงกับปากนิ่มๆ นั้นแล้วขยับริมฝีปากกดจูบซ้ำๆ สัมผัสได้ว่าคนตรงหน้ากำลังยิ้มขณะที่เบียดริมฝีปากกลับมา






เอียงหน้าให้หน้าผากกับปลายจมูกสัมผัสกัน กระซิบประโยคสั้นๆ ตอบคำถามที่อยู่บนมือ






“Yes, you can”


























FIN








[OS] Don't worry - Jark

Title: Don’t worry
Paring: Jark (Jackson x Mark)
Rate: PG-13
Author: PAR






--------------------------------------------------------------------------------------------------------






ท่ามกลางเสียงวุ่นวายของทีมงานรายการ Real GOT7 Season3 ซึ่งตอนนี้ดำเนินมาถึงตอนที่ 6 เหล่า GOT7 ยกเว้นแจบอมและยูคยอมกำลังถกเถียงกันเรื่องตำแหน่งของแต่ละคน เมื่อฉากต่อไปที่ต้องถ่ายทำเป็นเกมที่ประกอบไปด้วยคนแบกและคนโดนแบก


ทีมของแบมแบม ยองแจ และจินยอง ดูจะใช้ทรัพยากรบุคคลได้คุ้มค่าที่สุด เพราะผู้เล่นทั้งสามคนได้มีส่วนร่วมในการแข่งขัน หรืออีกความหมายหนึ่งคือ หน่วยก้านแต่ละคนดูไม่น่าจะพึ่งพาได้ถ้าต้องแบกใครก็ตามไว้บนบ่า ในขณะที่อากาทีมซึ่งเป็นทีมของมาร์ค แจ็คสัน และยูคยอม ตกลงกันได้ตั้งแต่ห้าวินาทีแรกว่าแจ็คสันจะเป็นคนแบกมาร์คเอง ความหมายโดยนัยคือแจ็คสันนั้นแข็งแรง


หากแต่ความหมายแฝงคือถ้าให้ทั้งแจ็คสันและยูคยอมมาแบกขามาร์คคนละข้างเหมือนที่ยองแจกับจินยองทำ มาร์คคงเอียงข้างมาทางแจ็คสันเพราะระดับความสูงมันต่างกับยูคยอมไม่น้อย


ถ้าหากมีพาดหัวข่าวว่า “ชาวเน็ตแปลกใจ หวังแจ็คสันอาสาแบกมาร์คต้วนเพียงลำพัง” เพจจบข่าวคงได้สรุปออกมาสั้นๆว่า “เพราะเตี้ยแต่ถึกและบึกบึน”


“หนักมั้ย?”


มาร์คกำลังเกร็ง


แน่นอนว่าไม่ชิน และไม่รู้ว่าจะทรงตัวยังไงเมื่อต้องมานั่งอยู่บนบ่ามนุษย์ จึงเอ่ยถามออกไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ไม่รู้จะเบาใจหรือกังวลเมื่อคนที่แบกตัวเองอยู่คือหวังแจ็คสัน ไม่ปฏิเสธว่าหมอนี่แข็งแรงกว่า แต่เขาเองก็ผู้ชาย จะให้แบกไว้แบบสบายๆ มันก็คงเป็นไปไม่ได้ ต้นขาที่แนบอยู่กับบ่าและต้นคออีกคนทำให้สัมผัสได้ว่าแจ็คสันเกร็งจนสั่น


“It’s okay. นั่งดีๆ นะ”


ตามหลักฟิสิกส์ เมื่อจุดศูนย์ถ่วงของฐานยิ่ง”เตี้ย” การทรงตัวยิ่งดี


มาร์คขอให้กำลังใจตัวเองแบบนี้ก็แล้วกัน


เสียงทีมงานตะโกนบอกให้เตรียมพร้อมแล้วสั่งแอคชั่น ทันทีที่แจ็คสันออกเดินไปข้างหน้า มาร์คก็เผลอกำมือเข้าหากัน ยึดผมสีสว่างไว้เพราะกลัวตก พอรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่หัวเข่าเหมือนจะเป็นการบอกเขาว่าให้ผ่อนแรงลงหน่อยนั่นแหละถึงจะรู้ตัวว่าเผลอดึงแรงไปเลยค่อยๆ คลายนิ้ว


จะรอดมั้ยเนี่ย


เสียงแบมแบมตะโกนท้าทายพร้อมกับสะบัดมือสะบัดแขนคล้ายกำลังเซิ้งขุดรูหนูทำให้มาร์คเบนความสนใจไปที่น้อง หลุดขำกับการเคลื่อนไหวที่สุดแสนจะอเลิร์ท ไม่ถงไม่ถามเรื่องสุขภาพพี่สองคนที่แบกมันไว้ซักคำ


แม้ไม่ได้ก้มลงไปมอง แต่ก็รู้สึกได้ว่าแจ็คสันกำลังกอดขาเขาไว้ทั้งสองข้าง สองขาของคนที่ท่อนล่างอยู่ใต้น้ำก้าวเข้าไปหาอีกสามคนที่ส่งเสียงโหวกเหวกอยู่ไม่ไกล แต่แล้วประโยคหนึ่งที่แจ็คสันตะโกนบอกก็ทำให้มาร์คไม่กังวลอะไรอีกต่อไป


“I’ll catch you, don’t worry!”




มาร์คกำลังยิ้ม




ความรู้สึกเหมือนกำลังจะออกรบและมีอัศวินที่เก่งที่สุดในโลกอยู่ข้างกาย นึกอยากให้ทีมงานใส่ดนตรีบางระจันให้มันรู้แล้วรู้รอด


ก็แค่นั้นแหละที่อยากได้ยิน


และประโยคที่เหมือนกับการให้คำมั่นนั้นก็ไม่เสียเปล่า


เพราะมาร์คเอาชนะแบมแบมที่มีฐานถึงสองคนได้อย่างง่ายดาย



ก็นะ






จะบอกว่าพลังแห่งรักก็ตรงเกินไป






เอาเป็นว่า.. เพราะทีมเวิร์คก็แล้วกัน












#FIN








https://vine.co/v/eJ2YrLuWWhi


Cr. MrJackson852







[OS] เฮีย - KrisYeol (nc)

Title: เฮีย
Paring: KrisYeol (Kris x Chanyeol)
Rate: NC-17
Author: PAR





-------------------------------------------------------------------------------------------------





ปาร์ค ชานยอล เป็นคนหล่อ


ไม่ว่าจะรูปร่าง ส่วนสูง หรือหน้าตา เมื่อทุกอย่างรวมกัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เพอร์เฟค


ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในหนุ่มฮอทประจำคณะนิเทศศาสตร์ พ่วงมาด้วยมาดหนุ่มนักดนตรีมากความสามารถ โดยเฉพาะกลองชุดกับกีต้าร์ ที่โชว์ลีลาเมื่อไหร่ได้เป็นเรื่องให้ใครหลายคนปลาบปลื้มแทบจะละลายไปตามๆ กัน


หากต้องการการการันตีก็ไม่มีปัญหา เดือนคณะบริหารชานยอลก็ทิ้งมาแล้ว ฟังไม่ผิดหรอก เดือนคณะ ง่ายๆ ก็คือผู้ชายนั่นแหละ ความเป็นไบเซ็กชวลกับมั่วไม่เลือกมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ชานยอลเคยได้ยินมาแบบนั้น ตอนแรกๆ ก็ไม่พอใจแต่นานๆ ไปเริ่มจะปล่อยวาง จะคบจะควงกับใครมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาแคร์ว่าจะโดนนินทาว่าร้ายยังไงบ้าง นี่เมื่อวานก็เพิ่งปฏิเสธคำรักเด็กอักษรไป บอกเหตุผลตามตรงว่าเป็นเพราะไม่แน่ใจสถานะตัวเองเนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วงลดระดับความสัมพันธ์กับสาวสวยดีกรีผู้นำเชียร์ของมหาลัย


เห็นมั้ย ปาร์ค ชานยอล ก็ยังมีศีลธรรม


รูปหล่อ นิสัยดี ไม่มีพิษภัย ใครจะไม่ชอบ


“ปาร์ค ไปเร็ว” บิดขี้เกียจซ้ายขวาก่อนจะคว้าเป้ย้วยๆ ขึ้นพาดไหล่แล้วเดินตามเพื่อนออกไปจากห้องเรียน สองหูเงี่ยฟังบทสนทนาของเพื่อนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมวงดนตรี แต่ปากกับตาต้องคอยยิ้มตอบการทักทายของสาวๆ ทั้งหลายทั้งที่เรียนเซคเดียวกันและพวกที่บังเอิญผ่านมา


“หล่อ หล่อเหลือเกิน แหมไอ้ชิบหาย ใครก็ได้จับแม่งไว้หน่อยกูขอเหยียบหน้ามันซักที” เสียงประชดประชันจากเซฮุนทำให้ชานยอลยักคิ้วให้แล้วหัวเราะ ยกเท้าขึ้นถีบด้วยแรงไม่เบานักเมื่อแบคฮยอนที่ยืนอยู่ข้างๆ บ้าจี้จะเข้ามาจับตัวเขาไว้จริงๆ


“เชี่ยไรมึงเซฮุน ยังไม่ชินหรือไง” สะบัดหน้าเบาๆ ให้เส้นผมสีควันบุหรี่เข้าทรง ยาวใกล้จะทิ่มตาแล้ว สงสัยต้องหาเวลาไปตัด


“ชิน แต่กูหมั่นไส้มีไรมั้ย ตกลงเอาไง แดกที่ไหนยังไงกี่โมง กูจะได้เคลียร์คิวถูก” ถามจบก็แลบลิ้นเลียปากอย่างที่ทำเป็นนิสัย ขยับมือพับแขนเสื้อนักศึกษาที่คลายออกให้เข้าที่ ซึ่งท่าทางแบบนั้นก็ทำให้มือคีย์บอร์ดของวงกลายเป็นจุดสนใจของกลุ่มนักศึกษาหญิงที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่ไม่ไกล และแน่นอนว่าพอเซฮุนรู้ตัวก็หันไปมองแล้วยกยิ้มที่คิดว่าหล่อที่สุดไปให้ทันที


ก็ไม่ได้ต่างจาก ปาร์ค ชานยอล เท่าไหร่เลย


“แดกไรวะ”


“นั่นไง มัวแต่อ่อย ฟังสิเวลากูพูดน่ะ บอกมันดิ๊จงอิน กูคุยโทรศัพท์แปบ” บ่นเพื่อนได้แค่นั้นแล้วก็เดินแยกออกไปคุยโทรศัพท์ ชานยอลจึงหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามใส่เพื่อนอีกคนที่ยืนหาวอยู่ข้างๆ


“เทามันโทรมาชวนไปแดกเหล้าคืนนี้ แล้วก็ให้เลือกว่าจะไปร้านเฮียหรือบ้านมัน”


“เนื่องในโอกาสอะไรวะ”


“เซ็งๆ มั้ง เมื่อวานมันโดนแฟนเด็กที่ควงอยู่ลากไปชก” คำตอบจากจงอินทำเอาชานยอลต้องถอนหายใจเหนื่อยหน่าย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทามีปัญหากับแฟนชาวบ้าน ด่าแล้วเตือนแล้วก็เท่านั้น เอาแต่บอกว่าตอนกูไปจีบเค้าโสดทุกคน


ไม่รู้มันเกิดมามีกรรมหรือว่าซื่อบื้อกันแน่


คุยกันยังไม่ทันได้ข้อสรุปเซฮุนก็เดินกลับมา บอกว่าไปร้านเฮียไม่ได้แล้วเพราะซ้อเจ็บท้องจะคลอดเลยต้องปิดร้านไปเฝ้าที่โรงพยาบาล แถมยังยิ้มหน้าระรื่นตอนที่บอกว่าตัวเองเป็นตัวแทนของทุกคนอวยพรให้ซ้อและหลานปลอดภัยแล้ว เป็นอันว่าวงเหล้าวันนี้ต้องไปตั้งรกรากที่บ้านเทาซึ่งเจ้าของบ้านเองก็รู้เรื่องแล้วและกำหนดเวลามาให้เสร็จสรรพ สองทุ่มตรงไม่ขาดไม่เกิน


“มึงว่าเฮียจะได้ลูกชายหรือลูกสาว” เซฮุนถามขึ้นชวนให้ทุกคนต้องกรอกตาเพื่อขบคิด ชานยอลส่ายหัวไม่ออกความเห็นในขณะที่จงอินตอบว่าลูกสาว แต่เจ้าของคำถามส่ายหน้าไม่เห็นด้วย


“กูว่าหลานเราอาจจะเป็นตุ๊ด” ชานยอลยกมือขึ้นตบหัวเพื่อนหนึ่งป้าบข้อหาพูดจาไม่เป็นมงคล แต่คนโดนตบหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจก่อนจะหุบยิ้มฉับแล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งไล่เตะแบคฮยอนแทนเพราะประโยคสั้นๆ


“ลูกเฮียไม่เป็นตุ๊ดหรอก แต่ลูกพ่อมึงอ่ะใช่”










-------------------------------------------------









เสียงโห่แซวผสมกร่นด่าดังขึ้นทันทีที่ชานยอลก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน น้ำแข็งหลายก้อนถูกปามาใส่จนต้องร้องบอกให้หยุดแล้วอธิบายว่าที่มาช้าเป็นเพราะรถติดแถมยังเลี้ยวผิดซอย เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนที่มาก่อนให้กับความโง่แดกที่นานๆ ทีจะมีให้เห็นจากหนุ่มสุดฮอทอย่างปาร์คชานยอล


“กูไม่ได้มานานแล้วมั้ยห่า มีลืมบ้างสิวะ อีกอย่างสมองกูมีไว้จำหน้าหญิง ไม่ได้มีไว้จำแหล่งกบดานโจรป่า” พูดจบก็กระโดดหลบเหล้าที่เทาเทใส่ฝาแล้วสาดมาใส่ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง ทำเนียนหยิบน้ำแข็งในถังมาปาใส่เจ้าของบ้านผสมโรงกับเพื่อนที่หันไปรุมด่ามันแทนข้อหาเล่นอะไรให้เปลืองเหล้า


สอดส่องสายตาหาที่ว่างแล้วเดินไปนั่งลงทันที ด้านซ้ายเป็นเซฮุนที่นั่งติดกับเทาและด้านขวาเป็นแฟนของแบคฮยอนที่รู้สึกจะชื่ออะไรซูๆ ซักอย่างชานยอลก็ไม่ค่อยใส่ใจที่จะจำ เพียงแค่ยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตรเมื่ออีกฝ่ายหันมาโค้งให้น้อยๆ


“เฮ้ยมึง ตรงนี้ที่เฮีย ไปนั่งที่อื่น”


“ห้ะ?” หันไปขมวดคิ้วใส่เซฮุนที่กำลังเอาเท้าเขี่ยผสมยันยิกๆ ให้ร่างโปร่งออกไปจากที่นั่งข้างตัว


เฮีย? ไหนว่าเมียคลอดลูก?


“ไม่เป็นไรเซฮุน เฮียนั่งไหนก็ได้” ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามให้เข้าใจ เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลัง ชานยอลเอี้ยวตัวไปมองพอดีกับที่อีกคนก้มลงมาสบตา


ใบหน้าดูดีนั้นทำให้รู้ว่าบุคคลมาใหม่เป็นคนละ ‘เฮีย’ กับที่ชานยอลคิด ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งภายใต้เสื้อคอวีสีเทาสบายๆ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ในมือมีจานขนมซึ่งก็คงไม่พ้นจะเป็นกับแกล้ม คิ้วเข้มเหนือดวงตาเรียวนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่กำลังนั่งแทนที่ตัวเองจ้องมานานเกินไป แต่สุดท้ายก็เลือกจะยกยิ้มน้อยๆ ส่งไปให้


แก้มที่นูนขึ้นเป็นก้อนกลมเล็กน้อยจากการอมยิ้มนั้นแม้ว่าแทบจะมองไม่ออกแต่ก็ทำให้ชานยอลตาพร่า


แบล็ก เลเบลเป็นพยาน ชานยอลไม่ได้ฝันไปใช่หรือเปล่า


น่ารักสัสๆ


“ไม่เอาเฮียนั่งนี่แหละ งั้นขยายวง สัสปาร์คเขยิบไป” เป็นอีกครั้งที่เซฮุนถีบเข้าที่ขา ชานยอลจึงได้สติละสายตาจาก ‘เฮีย’ แล้วขยับไปด้านข้างให้มีที่ว่างพอสำหรับอีกคน ความคิดความอ่านประมวลผลรวดเร็วแต่ก็ตีกันมั่วจนต้องขอตั้งสติด้วยการกระดกน้ำเมาเข้าปาก พลันสายตาก็เบนไปสบกับจงอินที่มองมายิ้มๆ


ตอนแรกก็ไม่เข้าใจรอยยิ้มของมือกีต้าร์ตัวดำเท่าไหร่ แต่พอเห็นว่าอีกคนส่งสัญญาณให้เทาแล้วพยักเพยิดไปทางคนแปลกหน้าที่เพิ่งนั่งลง ชานยอลถึงได้เข้าใจ


“เออเฮีย นี่เพื่อนวงผมอีกคน ชานยอลครับ เป็นมือกลอง ชานยอลนี่เฮียคริส ลูกพี่ลูกน้องกูเอง” คริสหันไปอมยิ้มให้คนข้างๆ อีกครั้งจนตาเป็นสระอิ ซึ่งอีกฝ่ายก็ผงกหัวให้พร้อมกับยิ้มนิดๆ


ชานยอลยกแก้วในมือขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้งแบบพยายามเก็บอาการสุดๆ ลอบยิ้มมุมปากเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาวิบวับเหมือนจะแซวจากจงอิน หึ รู้ดีนักไอ้ดำ


กิจกรรมเบสิกในวงเหล้าก็หนีไม่พ้นการร้องเพลง แน่นอนว่านักร้องประจำวงอย่างแบคฮยอนก็ครองไมค์เหมือนเคย พอแหกปากร้องจนเสียงแหบถึงยอมสละไมค์ให้เทาที่ร้องไปก็ยื่นไมค์จ่อปากคนอื่นไป ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือบ้างตามกำลังศรัทธา


จะฮาที่สุดก็คงเป็นจงอิน ร้อยทั้งร้อยยอมรับว่าผู้ชายคนนี้เล่นกีต้าร์ได้ขั้นเทพ แต่กับการร้องเพลงนี่คำว่าหลงคีย์ยังน้อยไป เทาก็รู้ข้อนี้ดีแต่ก็ยังเลือกจะกดเพลงคู่แล้วสลับกันร้องระว่างตัวเองกับจงอิน แรกๆ ไอ้มือกีต้าร์ก็หลงของมันคนเดียว แต่พอร้องไปสามสี่ท่อนมือเบสอย่างเทาก็ถึงกับไปไม่เป็นเพราะเพื่อนตัวดำหลงคีย์โหยหวนชนิดกู่ไม่กลับ สุดท้ายกลายเป็นพากันหลงเข้าป่าเข้าดง ลำบากคนที่เหลือนั่งงอตัวขำท้องคัดท้องแข็งไปตามๆ กัน


“เฮ้ยมึงๆ พวกมึงเงียบก่อน เฮียโทรมา” เซฮุนยกถังน้ำแข็งขึ้นเคาะเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคน เทารีบวิ่งไปปิดเสียงเพลงพอดีกับที่เซฮุนเลื่อนนิ้วกดเปิดสปีกเกอร์โฟน


“ฮัลโหลเฮียยย” เซฮุนกรอกเสียงยานคางลงไปแล้วเงี่ยหูฟัง


‘เออ ยังกินกันอยู่เหรอ’


“ช่าย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเฮียโทรมาขัดจังหวะรู้ตัวป่ะ” เทาที่วางมือค้ำหัวเซฮุนอยู่ตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์ แต่หลังจากนั้นก็ร้องโอ้ยเพราะแบคฮยอนหยิบน้ำแข็งมาปาใส่กับการใช้คำของเพื่อนตัวเอง


“เฮียโทรมามีไรป่ะครับ ซ้อเป็นไงบ้าง คลอดยัง” ชานยอลเอี้ยวตัวไปพูดบ้าง และเพราะแบบนั้นทำให้ไหล่ของเจ้าตัวกับคริสเบียดกันพอดี


‘ปลอดภัยดี กูได้ลูกชาย’ เสียงโอ้ว้าวดังขึ้นรอบวงตามมาด้วยเสียงแสดงความยินดี น้ำเสียงของคนในโทรศัพท์ฟังยังไงก็รู้ว่าดีใจและตื่นเต้นแค่ไหน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็พลอยปลาบปลื้มไปด้วย จะมีก็แต่แบคฮยอนที่แทรกขึ้นมาว่าให้เฮียรีบเลี้ยงให้โตจะได้พาหลานมาเลี้ยงเหล้าเป็นการรับขวัญ ซึ่งก็ได้ประโยคตอบรับกลั้วหัวเราะกลับมาจากเฮียสุดที่รักว่า


‘ตีนกูเถอะ’


ทุกคนกล่าวคำยินดีอีกครั้งแล้วบอกลาเมื่อคนปลายสายบอกว่าต้องกลับไปดูแลภรรยา เซฮุนกดปิดสปีกเกอร์โฟน ยกขึ้นแนบหูแล้วคุยอีกสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป


เพราะเทาบอกว่าขี้เกียจเดินไปเปิดเพลงอีก การร้องเพลงจึงหยุดลงเพียงเท่านั้น กิจกรรมเบสิกอีกอย่างจึงบังเกิด นั่นคือการนินทาระยะเผาทั้งเป็น


เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะที่ดังต่อเนื่องทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน หลักๆ ก็คงเป็นแบคฮยอนและเซฮุนที่พูดเป็นต่อยหอย ชานยอลเพียงแค่คอยผสมโรงโจมตีเวลามีใครซักคนตกเป็นประเด็นสนทนา หลากหลายเรื่องราวสัพเพเหระถูกยกขึ้นแซวกันไปเผากันมาตามประสาคนมีวีรกรรมมารวมตัวกัน ซึ่งแน่นอนว่าท็อปปิกก็วนมาถึงชานยอลเข้าจนได้ และดูเหมือนจะโดนรุมด่ามากกว่าแซว


“มึงก็พูดเกินไป กูแค่คบเรื่อยๆ ไม่ใช่ก็จบแค่นั้นเอง” เอ่ยเถียงแบคฮยอนที่เริ่มกรึ่มๆ แล้วพูดมาก หาว่าปาร์คชานยอลเป็นคนสำส่อน


“ถุย หลอกฟันเขาไปทั่วไม่ว่า ส๊าธุซักวันกูอยากให้มีคนฟันมึงแล้วทิ้งบ้าง โอ๊ย!” เมล็ดถั่วลิสงบนจานกับแกล้มเป็นอาวุธที่ดีที่สุดสำหรับชานยอลในตอนนี้ ซึ่งก็ดีจริงๆ เมื่อมันถูกปาไปโดนกลางหน้าผากคนที่แช่งเขาได้พอดิบพอดี


“เสียใจ อย่างกูต้องอยู่บนตัวคนอื่นเท่านั้นว่ะ” พูดจบก็ต้องหัวเราะเมื่อเสียงถ่มถุยดังขึ้นจากรอบทิศ รวมถึงเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนข้างตัว


ชานยอลเหลือบตามองอีกคนที่ไม่ค่อยพูดแล้วอมยิ้มกับตัวเอง ส่วนมากคริสจะนั่งยิ้มหรือหัวเราะไปกับเรื่องที่คนอื่นคุยกัน มีร่วมวงบ้างถ้าเป็นเรื่องของเทา ริมฝีปากเรียบสวยดูสุขภาพดีในแบบของผู้ชายดึงดูดชานยอลไม่น้อยยามที่มันแย้มยิ้มหรือขยับตอบโต้เวลามีคนพูดด้วย


กระดกก้นแก้วขึ้นสูงเพื่อกำจัดของเหลวสีอำพันให้หมดในคราวเดียว รอจังหวะซักพักก่อนจะค้ำมือซ้ายลงกับพื้นด้านหลังของคริส เอี้ยวตัวเข้าไปใกล้ร่างโปร่งนั้นก่อนที่มือขวาจะยื่นแก้วเปล่าผ่านหน้าอีกคนไปหาเทา


“เติมเหล้าให้หน่อย”


“...”


การกระทำของชานยอลทำเอาเพื่อนที่รู้ตื้นลึกหนาบางออกอาการกันเป็นแถบๆ เทาถลึงตาใส่แต่ก็ยอมรับแก้วไปชงเหล้าให้ในขณะที่เซฮุนยกมือขึ้นมากุมขมับ ส่วนจงอินอาการหนักสุด หันไปซุกหน้าลงกับซอกคอเด็กที่หิ้วมาด้วยแล้วขำจนไหล่สั่น ยังดีที่หลังจากนั้นทุกคนก็ยังคงส่งเสียงโหวกเหวกต่อไปไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำของชานยอลเท่าไหร่นัก


คนกำลังรอแก้วเหล้าใจเย็นพอจะไม่หันไปมองว่าคนที่เกือบจะอยู่ในอ้อมกอดของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง แต่ระยะห่างแค่นี้ก็ใกล้พอที่จะทำให้รู้ว่าคริสตัวหอม และกำลังเกร็ง


“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมที่ดังอยู่ใกล้ๆ หูทำให้ชานยอลต้องกลั้นยิ้มแล้วหันไปหาอีกคน ตีหน้านิ่งเลิกคิ้วเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด


“ครับ? เฮียจะเติมด้วยมั้ย?” คนถูกถามขมวดคิ้วให้กับระยะห่างที่ออกจะใกล้เกินไปแต่ก็พยักหน้าตอบ กระแอมเบาอีกครั้งแล้วหรี่ตามองกลับเมื่อเห็นว่าชานยอลเอาแต่จ้องตัวเอง และถ้ามองไม่ผิด แม้จะแค่แปบเดียวแต่หนุ่มชาวจีนก็เห็นว่าชานยอลกระตุกยิ้ม


ชานยอลหยิบแก้วของคริสส่งให้เทาในขณะเดียวกันก็รับแก้วของตัวเองคืนมา ยอมรับว่าเสียดายที่ต้องผละออกจากกลิ่นหอมๆ ของอีกคน แต่เอาเถอะ





อดเปรี้ยวไว้กินหวาน











-------------------------------------------------










“อือ” เสียงทุ้มต่ำฮึมฮำในลำคอ พลิกตัวให้อยู่ในท่าสบายหลังจากถูกวางลงบนเตียง แผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงสม่ำเสมอตามจังหวะการหายใจ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของร่างกำลังหลับ


“เฮีย” แม้จะยังมีสติแต่สภาพก็ไม่ได้ต่างจากคนอายุมากกว่าซักเท่าไหร่ ที่กินเข้าไปก็ไม่ใช่น้อยๆ นึกขอบคุณตัวเองที่คอแข็งในระดับหนึ่ง


“...”


“เฮียครับ” มือขวาถือวิสาสะเอื้อมไปลูบแก้มของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายเพื่อน นิ้วโป้งเกลี่ยไปมาเบาๆ ให้ความรู้สึกเพลินมือ และคงเพลินเกินไปเพราะชานยอลห้ามตัวเองไม่ทันแล้วตอนที่จมูกของเขากดลงกับข้างแก้มของคนที่นอนหลับตาอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกือบจะเมาหรือเพราะอีกฝ่ายมีแรงดึงดูดมากเกินไป


สูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอดแล้วผละออกห่าง เปลือกตาของคนถูกกระทำขยับยุกยิกก่อนจะลืมตาขึ้น ชานยอลมองภาพตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ


“ชานยอล?”


“ครับ ผมเอง” สองมือค้ำลงใกล้ไหล่ของคนอายุมากกว่า คริสมองตามท่อนแขนภายใต้เสื้อเชิ้ตสีเลือดหมูที่พับขึ้นมากองไว้ที่ข้อศอกแล้วเบือนกลับขึ้นไปมองหน้าคนด้านบน


“คนอื่นๆ ล่ะ” เอ่ยถามทั้งที่ยังสบตากันและกันนิ่ง ไม่มีใครคิดจะหลบ


“ตายเกลื่อนอยู่ข้างนอก” คริสพยักหน้าเมื่อได้รับคำตอบ อาการปวดตุบๆ ในหัวทำให้นึกย้อนไปช่วงเวลาก่อนหน้านี้ จำได้แค่ว่าตัวเองก็นั่งฟังเด็กรุ่นน้องคุยไปเรื่อยๆ แก้วเหล้าก็ไม่รู้ทำไมถึงไม่พร่องลงซักที แถมยังเข้มขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกคิดว่าเขาคงเมา แต่พอตื่นมาแล้วเห็นว่าใครเป็นคนพาเขามาที่เตียง ถึงได้เริ่มมั่นใจ ไหนจะสัมผัสแปลกๆ ก่อนลืมตานั่นอีก


“นายมอมฉัน?” คริสถามด้วยน้ำเสียงและแววตาปกติ ไม่มีกระแสความหวั่นไหวแม้จะอยู่ในสภาพที่อาจจะเรียกได้ว่าเกือบโดนคร่อม ชานยอลยิ้ม งอแขนลง ทำให้ใบหน้าลงไปใกล้คนด้านล่างมากกว่าเดิม


“จะว่างั้นก็ได้ครับ” จริงๆ ก็แค่ส่งซิกนิดๆหน่อยๆให้จงอิน โทษเขาคนเดียวคงไม่ได้ ต้องโทษจงอินด้วยที่รู้ใจเกินไป


สายตาเจ้าชู้แพรวพราวของคนตรงหน้าทำให้คริสนึกขำ มีใครเคยบอกเด็กคนนี้ไหมว่ามันดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่กับหน้าตาแบบนี้ แล้วนี่คิดยังไงถึงมาคร่อมคนอื่นเขาทั้งที่เสื้อตัวเองก็ปลดกระดุมไว้


ขาวดีซะด้วย


“เฮีย” ชานยอลเรียกเบาๆ เมื่อเห็นว่าตัวเองโดนสำรวจด้วยสายตาวิบวับ ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ชินเสียแล้วกับการโดนสายตาหลงใหลจ้องมอง รูปลักษณ์ภายนอกเขามักดึงดูดคนอื่นได้เสมอ และมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นทวีคูณเมื่อคนเหล่านั้นได้ลองมาอยู่ใต้อาณัติของปาร์คชานยอลคนนี้


และตอนนี้ก็แค่เป็นคราวของพี่ชายเชื้อสายจีนเท่านั้นเอง


ราวกับแรงโน้มถ่วงของโลกมากขึ้น ใบหน้าได้รูปของชานยอลลดต่ำลงเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ของคนใต้ร่างที่เฉียดผ่านเหนือริมฝีปาก ก่อนจะกลายเป็นรินรดอยู่ที่ข้างแก้มเมื่อเขาเอียงหน้าทาบทับริมฝีปากลงไปกับปากอีกคน กดแนบลงไปแล้วเม้มคลึงกลีบปากบนล่างจากแผ่วเบาจนหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ


“อืม..” คริสส่งเสียงในลำคอราวกับกำลังพึงพอใจ ซึ่งสำหรับชานยอลนั่นถือเป็นสัญญาณการเริ่มต้นที่ดี มือข้างหนึ่งยกขึ้นวางบนหน้าท้องที่เป็นลอนนิดๆ ในขณะที่ลิ้นอุ่นเริ่มทำหน้าที่แตะเลียตามริมฝีปากสลับกับเบียดแซะรอยแยกตรงกลางจนในที่สุดคริสก็เปิดปากให้อีกฝ่ายได้เข้าไปสำรวจภายใน


รสสัมผัสเป็นไปตามลำดับ จากเนิบช้านุ่มนวลกลายมาเป็นการดูดดึงที่เร่าร้อนขึ้น การตอบสนองของคริสทำให้ชานยอลอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เขาเป็นแบบนี้เสมอเวลาเจอคนที่ดูเหมือนจะไม่โอนอ่อนไปตามการกระทำของเขาง่ายๆ ทุกครั้งความท้าทายและอยากเอาชนะจะก่อเกิดขึ้นในห้วงความคิด ซึ่งแน่นอนว่าปาร์คชานยอลก็เป้นผู้ชนะทุกครั้งไป และรางวัลของผู้ชนะก็ได้สีหน้าและเสียงของความสุขสมจากคนที่อยู่ใต้ร่างมาเชยชม


ต่างคนต่างหอบหายใจรินรดซึ่งกันและกันเมื่อผละจูบออก ชานยอลขยับมือสอดเข้าใต้เสื้อของคนด้านล่างไปพร้อมๆ กับริมฝีปากที่พรมจูบไปตามสันกรามและลำคอ กลิ่นเฉพาะตัวของอีกฝ่ายทำเอาชานยอลเผลอวนเวียนสูดดมอยู่พักใหญ่ นอกจากเหล้าก็น่าจะเป็นกลิ่นนี้แหละที่ทำให้เขาเมา ฝ่ามือที่ไต่ขึ้นมาถึงกลางอกลูบไล้ลงน้ำหนักเบาบ้างหนักบ้างสลับกัน


“ชานยอล” เพราะกำลังจดจ่ออยู่กับการฝากร่องรอยสีระเรื่อไว้บนลำคอของคริสทำให้คนถูกเรียกเลือกที่จะครางฮือในลำคอเพื่อตอบรับเสียงอันแหบพร่านั้น


คริสเงยหน้าขึ้นเปิดทางให้คนเด็กกว่าได้ทำตามใจ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอลที่โดนหลอกล่อให้กินเข้าไปซะเยอะทำให้เขารู้สึกมากกว่าและเร็วกว่าปกติ ช่วงเวลาที่ได้หลับไปแม้จะไม่นานมากแต่ก็ทำให้สร่างเมาได้ในระดับหนึ่ง และอาจจะหายเมาในเร็วๆ นี้เลยก็ได้เพราะบนตัวเขาก็ดันมีเด็กแก่แดดมาลวนลามให้ใจสั่นเป็นพักๆ


สองมือของชายหนุ่มชาวจีนยกขึ้นประคองใบหน้าเรียวให้กลับมาประกบปากกันอีกครั้ง ต่างกันตรงที่ครั้งนี้คริสดูจะเป็นฝ่ายที่รุกล้ำเข้าไปก่อน ชานยอลดูแปลกใจแต่ไม่นานตอบสนองกลับไปอย่างช่ำชองไม่แพ้กัน เสียงดูดดึงดังกระทบโสตประสาทของคนทั้งคู่พาให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ชายหนุ่มนักดนตรีลอบยิ้มเมื่อรู้สึกได้ว่ารสชาติและลีลาการจูบของพี่ชายตัวหอมคนนี้ไม่ธรรมดา


“..อื่ม” คิ้วเรียวของชานยอลกระตุกเข้าหากันเมื่อรู้สึกได้ว่าฝ่ามืออุ่นที่เคยเค้นคลึงอยู่แถวๆ ท้ายทอยกำลังเลื่อนลงไปตามสีข้างจนถึงเอว ลิ้นที่เคยได้กระหวัดดูดดึงอยู่เมื่อครู่กลายมาเป็นฝ่ายไล่ต้อนเขาเสียเอง พอจะผละออกก็โดนมืออีกข้างรั้งใบหน้าไว้จนตอนนี้เริ่มจะหายใจไม่ออก ..ยอมรับว่าเก่ง


แต่นี่มันเก่งเกินไปหรือเปล่า


“!!” ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีจนชานยอลไม่มีสิทธิแม้แต่จะอุทาน คนที่คิดว่าอยู่ในอาการมึนเมาออกแรงดึงจนมือที่ค้ำอยู่กับที่นอนนั้นเสียหลักจนทำให้ร่างโปร่งล้มลงไปทับอีกฝ่ายก่อนจะโดนพลิกตัวลงไปนอนอีกฝั่งของเตียงตามด้วยร่างของคริสที่ลุกขึ้นมาคร่อมชานยอลไว้ทั้งตัว ใบหน้าที่เคยคิดว่ามันน่ารักเวลายิ้มก้มลงมาจนชิดแล้วกดริมฝีปากป้อนจูบลึก


“อึก”


แม้ลึกๆ จะตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันแต่ก็ควบคุมสติได้ไวพอสมควร ประสบการณ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาถูกงัดขึ้นใช้เพื่อป้อนจูบร่างด้านบนกลับไป ไม่ยอมให้ตัวเองโดนไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียว


ซึ่งการกระทำนั้นสำหรับคริสทำให้ชานยอลดู ..น่ารัก


เด็กน้อย


เพราะไม่สามารถตัดสินกันได้ด้วยจูบ มือของร่างโปร่งจึงสอดเข้าไปใต้เนื้อผ้าสีเทาของคนด้านบนแล้วลากนิ้วตามแนวกระดูกสันหลังขึ้นมาจนถึงหลังต้นคอ จงใจเน้นย้ำสัมผัสให้อีกคนหวามไหว ที่เหลือก็แค่รอจังหวะที่จะพลิกขึ้นเป็นฝ่ายคุมเกมเหมือนเดิม ปล่อยให้คนอายุมากกว่าได้แสดงฝีมือจนกว่าจะพอใจ หรือถ้าอยากจะออนท็อปชานยอลก็คงไม่ขัดศรัทธา


คริสเลื่อนตัวลงกดจูบขบเม้มตามซอกคอเหมือนที่ชานยอลเคยทำก่อนหน้านี้ และเพราะปลดกระดุมเม็ดบนสุดไว้ ริมฝีปากหนาจึงมีพื้นที่ในการซุกไซร้ร่างกายอีกฝ่ายมากขึ้น แม้จะเป็นผู้ชายแต่คนตรงหน้าก็ขาวนวลเนียนในแบบที่เขาชอบ มือสวยยกขึ้นปัดข้อมือของคริสออกตอนที่พยายามจะปลดกระดุมที่เหลือ


“หืม?” เลิกคิ้วใส่การกระทำนั้นเหมือนจะถามว่าตัวเองทำอะไรผิด ตีหน้าซื่อแต่ท่อนขายาวขยับเข้ามาวางกลางหว่างขาอีกคนแล้วดันขึ้นสูงเสียดสีกลางลำตัว ชานยอลขมวดคิ้วแน่นจ้องหน้าคนอายุมากกว่าด้วยสายตาตระหนกปนอยากด่าแต่ก็ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ออกมาจากปาก คริสยิ้มใส่ตาร่างตรงหน้าแล้วขยับขากดคลึงด้านล่างมากกว่าเดิม


“อย่าซนสิครับ” ชานยอลเอ่ยปรามแล้วกระถดตัวหนีแต่ก็โดนขยับตามทุกครั้ง รู้ตัวอีกทีลำตัวก็สัมผัสกับอากาศเย็นๆ ในห้องเพราะกระดุมถูกปลดออกไปหมดแล้ว สบถคำหยาบในใจเมื่อรู้สึกได้ว่ากลางลำตัวมีปฏิกิริยาเพียงเพราะโดนบดเบียด


บัดซบ


“เรานั่นแหละ นอนเฉยๆ เถอะ”


“ปล่อยผม เฮียอยู่ผิดตำแหน่งนะ” เอ่ยสั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“เด็กแก่แดด”


รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงวิ้งในหู ตั้งแต่เริ่มมีความสัมพันธ์กับคนอื่นมา ไม่เคยมีคนไหนพูดกับชานยอลแบบนี้ซักครั้ง โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนเตียง แค่เขาจูบและสัมผัสเล็กน้อยก็ขี้คร้านจะครางเสียงสั่นกันแทบทุกคน


และเพราะคำนั้นทำให้คนโดนว่าผลักคนอายุมากกว่าให้ล้มลงไปแล้วพลิกตัวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นและเป็นมาตลอด ในเมื่อโดนสบประมาทขนาดนี้ปาร์คชานยอลก็จะเริ่มเอาจริงซะที อยากได้ยินเหมือนกันว่าเสียงทุ้มแอบกวนประสาทแบบนี้เวลาอยู่ในอารมณ์อย่างว่าจะเปลี่ยนไปแค่ไหน


“ฮึๆ” เสียงหัวเราะในลำคอ ไม่ทำให้ร่างโปร่งโมโหเท่ากับดวงตาสีเข้มที่มองขึ้นมาพร้อมแววตาเอ็นดู ไวเท่าความคิด ฟันขาวก้มลงกัดมุมปากของคริสอย่างแรงจนมันเป็นแผล อมยิ้มได้ใจเมื่อเจ้าของโพรงปากร้องโอ้ยเพราะความเจ็บ มือใหญ่ยกขึ้นแตะมุมปากที่มีเลือดซึมนิดๆ


“เตือนแล้วนะ ว่าให้นอนเฉยๆ”


“โอ๊ย! เฮ้ย!!”


เสียงแรกร้องออกมาเพราะจู่ๆ คริสก็กระขากแขนขาวอย่างแรงจนใบหน้าของชานยอลกระแทกเข้ากับแผงอกแข็งเต็มๆ อาการแสบจี๊ดๆ ที่ปากล่างทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเขาปากแตก อ้าปากจะโวยวายใส่ไอ้บ้าแดนมังกรแต่ก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องอีกครั้งเมื่อทั้งตัวถูกแขนยาวๆ ทั้งสองข้างรวบไว้แน่นแล้วหมุนตัวพลิกขึ้นมาทับจนเขาหายใจแทบไม่ออก


สะบัดตัวแรงๆ จนหลุดออกจากวงแขนแกร่ง อารมณ์โมโหพุ่งขึ้นถึงขีดสุดเพราะโดนจับพลิกหลายรอบ ฝ่ามือขาวกำแน่นเงื้อหมัดขึ้นหวังจะซัดหน้าอีกฝ่ายให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ร่างสูงกลับไหวตัวทัน


คริสยกมือขึ้นปัดหมัดที่ตรงเข้ามาหาแล้วพลิกมือรวบสองแขนไว้ด้วยกัน ใบหน้าเรียบนิ่งแต่มืออีกข้างเลื่อนลงปลดหัวเข็มขัดแล้วดึงออกจากเอวอีกคน ใช้มันพันรอบข้อมือขาวเอาไว้ ไม่สนใจเสียงร้องโวยวายจากเจ้าของมันแม้แต่น้อย


“จะทำอะไร! ปล่อยนะเว้ย!!” เพราะส่วนที่เหลือต้องโยงไปล็อคไว้กับเสาเหล็กมุมเตียง ร่างสูงจึงจำเป็นต้องช้อนตัวอีกคนให้ขยับนอนในแนวทแยง ไม่สนว่าจะหันหัวหันเท้าผิดธรรมชาติไปซักหน่อย เพราะความพยศดื้อรั้นของเด็กตรงหน้าก็ทำให้สภาพเตียงตอนนี้ไม่น่าเรียกว่าเตียงเท่าไหร่


“มัดทำไม ไอ้เหี้ย! ปล่อยนะ!!” ขนาดสองมือโดนตรึงไว้ก็ยังไม่วายจะตะโกนคำหยาบปาวๆ สองขายกขึ้นถีบสะเปะสะปะไม่ให้อีกคนได้เข้าใกล้แต่ก็เป็นอีกครั้งที่คริสเหนือกว่า จับข้อเท้าทั้งสองข้างแยกออกแล้วแทรกตัวไปเข้าไปอยู่ตรงกลาง โน้มตัวไปข้างหน้าดันให้ขาเรียวยกขึ้นเกือบจะชิดแผ่นอกเนียน


“ออกไป!”


“หยุดดิ้นซะทีชานยอล”


คริสโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิม มือใหญ่จับใบหน้าเรียวไว้แล้วก้มลงบดจูบรุนแรงที่ช่วงชิงแทบทุกลมหายใจจนทำเอาชานยอลมึนคาที่เพราะทั้งกลัวทั้งเหนื่อย แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่สองขาก็ขยับถีบผิดๆ ถูกๆ ยามที่ร่างกายโดนอีกฝ่ายลูบไล้ ส่งเสียงอึกอักเบาๆ พร้อมกับที่แผ่นอกขาวกระตุกขึ้นเมื่อริมฝีปากร้อนเลื่อนลงไปครอบครองจุดไวสัมผัสทั้งสองข้าง


เหมือนหัวใจหล่นวูบเมื่อรู้ตัวอีกทีมือใหญ่ๆ นั้นก็กำลังดึงทั้งกางเกงยีนส์และชั้นในของเขาออกจากสะโพก ดิ้นต่อต้านอีกครั้งจนคริสต้องก้มลงขบกัดที่ลำคอขาวจนเป็นรอยฟัน


“โอ๊ย! ไม่..อย่านะ ..เฮีย!!” คริสอาศัยช่วงที่ร่างโปร่งชะงักเพราะความเจ็บจัดการดึงกางเกงสองชิ้นออกจากตัวอีกคนได้สำเร็จ นึกสงสัยว่าเด็กคนนี้ไปเอาแรงมาจากไหนนักหนาถึงดิ้นไม่หยุดซักที


“ชู่ว ไม่เอาน่า”


สุดท้ายร่างสูงก็ปราบพยศด้วยการก้มลงจูบอีกรอบ น้ำหนักตัวที่ทิ้งลงไปทำให้ต้นขาขาวขยับได้น้อยลง แรงดูดดุนหนักหน่วงสอดลึกจนเจ็บริมฝีปาก น้ำสีใสไหลซึมออกตามมุมปากเป็นสัญญาณว่าเรียวลิ้นทั้งสองโรมรันกันมานานพอแล้ว


“อื้ออ! อื้อ!!” ส่งเสียงประท้วงอยู่ในลำคอ เมื่อมือใหญ่ตรงเข้ากอบกุมส่วนที่เกือบจะหลับไหลลงไปแล้วให้ตื่นตัวขึ้นมาใหม่ บีบคลึงแล้วขยำรูดขึ้นลงไม่เป็นจังหวะ กระแสความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมากะทันหันทำให้ลมหายใจสะดุด สะบัดหน้าหนีจูบจาบจ้วงได้ในที่สุด


“ฮ.. ปล่อย อึก...ปล่อยผม” ตาคมจับจ้องอยู่ที่สีหน้าของคนใต้ร่าง ใบหน้าบิดเบี้ยวแต่สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ ทว่าสิ่งที่เขากระทำตอบกลับไปคือการยกยิ้มแล้วเร่งจังหวะที่มือให้เร็วขึ้นกว่าเดิมจนมันขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ ปลายนิ้วโป้งกดถูแรงๆ ที่ส่วนปลายในขณะที่อุ้งมือก็กำแน่นขึ้นเพื่อเร่งเร้าให้อารมณ์ของอีกคนเพิ่มมากขึ้น


มันได้ผล ชานยอลคำรามต่ำในลำคอ ต้นขาขาวที่แนบอยู่ข้างสะโพกทำให้คริสรู้สึกได้ว่าร่างตรงหน้าเกร็งจนสั่น หน้าท้องกระตุกเกร็งปลดปล่อยคลื่นอารมณ์ระลอกสุดท้ายออกมาเลอะฝ่ามือหนาและหน้าขาตัวเองในเวลาต่อมา


เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมตามไรผมและแผ่นหลัง หน้าอกขยับขึ้นลงตามแรงหอบ ริมฝีปากบวมแดงที่เกิดจากการจูบซ้ำๆ เผยอออก ทำให้คริสอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปแตะเล็มมันอีกครั้ง ริมฝีปากและปลายจมูกโด่งที่คลอเคลียอยู่ทั่วใบหน้าและลำคอทำให้ชานยอลหลับตาโดยอัตโนมัติ


“หายเหนื่อยรึยัง?” เสียงทุ้มที่กระซิบชิดใบหูทำให้คนได้ยินขมวดคิ้วฉับเพราะไม่เข้าใจความหมาย คริสเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งก่อนที่ชานยอลจะรู้สึกว่าสะโพกถูกยกประคองให้ลอยขึ้นแล้ววางลงอีกครั้งบนหมอน


ร่างโปร่งคงจะงงอยู่แบบนั้นถ้าคริสไม่ยืดตัวขึ้นปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงซะก่อน พอสมองประมวลผลได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เสียงแหบพร่าก็โวยวายขึ้นทันที ข้อมือที่ถูกพันธนาการไว้กระตุกแรงๆ จนขึ้นรอยแดงแต่ก็เท่านั้นเพราะมันไม่มีทีท่าว่าจะหลุดออกเลย


“เดี๋ยว อย่านะเฮีย ผมไม่! ...อ้า!!”


ไม่ทัน


กล้ามเนื้อทุกส่วนหดเกร็งขึ้นมาพร้อมกันเมื่อช่องทางด้านหลังถูกนิ้วแข็งๆ รุกล้ำแบบไม่ทันได้ตั้งตัว สองมือกำเข้าหากันแน่น เล็บบนนิ้วมือจิกลงกับฝ่ามือจนซีดขาว ต้นขาสองข้างพยายามหนีบเข้าหากันแต่ก็แพ้แรงอีกคนหนึ่งที่ดันมันให้แยกออกกว้าง


ฟันขาวกัดแน่นลงบนริมฝีปากที่ตอนนี้กลายเป็นสีระเรื่อแวววาวจนคริสนึกเป็นห่วงว่าคนเป็นน้องจะได้แผล ขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มจำนวนแล้วโน้มตัวลงไปแตะลิ้นลงกับริมฝีปากตรงที่โดนฟันขบไว้แน่น กดคลึงและไล้เลียอยู่อย่างนั้นจนชานยอลยอมผ่อนแรง ร่างสูงลอบยิ้มเมื่อลิ้นเล็กๆ ขยับออกมาฉกดุนลิ้นเขากลับ


“อี๊อ! ฮ่ะ..” เป็นอีกครั้งที่ชานยอลสะดุ้งตกใจมองหน้าคริสด้วยแววตาตื่นตระหนกเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนกระชากลงจากที่สูงจนเสียววาบไปทั่วท้องน้อย


ชานยอลรู้ว่ามันคืออะไร และเพราะสายตาที่เต็มไปด้วยประกายนึกสนุกปนเจ้าเล่ห์ของคริสทำให้ร่างโปร่งตวัดสียงห้าม


“อย่านะเฮีย”


“...”


“อ๊ะ.. บอกว่า..ย....อย่า”


“หึ”


“ฮึ่ก..อื้อ แม่งเอ๊ย”


สบถออกมาอย่างหัวเสียแต่ก็ต้องเม้มปากเชิดหน้าขึ้นในเวลาต่อมาเพราะนิ้วที่กดนวดลงกับจุดกระสันอยู่เมื่อกี้กลายเป็นถอนออกแล้วใส่เข้ามาใหม่ให้กระแทกตำแหน่งเดิมซ้ำๆ จนเจ้าของร่างเกร็งไปทั้งตัวแทบจะเสร็จอีกรอบทั้งๆ ที่ส่วนนั้นยังไม่ได้ถูกแตะต้องเลย


แผ่นอกขาวเนียนกลายเป็นจุดสนใจของริมฝีปากหนา ลากลิ้นสากวนรอบยอดยกทั้งสองข้างจนเจ้าของร่างแอ่นตัวเข้าหาปลายลิ้นอุ่นโดยอัตโนมัติ ซึ่งคริสก็ตอบสนองอาการนั้นด้วยการลงน้ำหนักมากขึ้นจนได้ยินเสียงครางปนหอบหนักๆ ของคนตรงหน้า


แตะไล้ วนเวียน ดุนดันหนักๆ หลอกล่อให้อีกคนเบนความสนใจจากสิ่งที่เขากำลังจะทำ


นิ้วยาวค่อยๆ ถอนออกจากตัวอีกคนช้าๆ จนเมื่อช่องทางนั้นว่างเปล่าร่างหนาก็ยกตัวขึ้นไปแนบแก้มตัวเองเข้ากับแก้มอีกคน ตัวตนส่วนล่างจ่ออยู่ที่ปากทางเข้าพอดิบพอดีก่อนที่คริสจะค่อยๆ กดตัวเองเข้าไป


“!!!”


ดวงตากลมโตเบิกโพลงขึ้นพร้อมกับเรียวปากที่อ้าออกเหมือนจะส่งเสียงร้องแต่เพราะเจ็บเกินบรรยายเลยทำได้แค่ขยับปากพะงาบๆ โดยไม่มีซุ่มเสียงใดๆ หลุดออกมา


ขอบตาร้อนผ่าวก่อนที่ภาพเพดานสีขาวจะพร่าเบลอเพราะถูกบดบังด้วยน้ำตา เสียงหายใจเฮือกใหญ่ๆ ดังขึ้นหลายครั้ง ความเจ็บที่ช่วงล่างกลบความรู้สึกต่างๆ ก่อนหน้าจนหมดสิ้น แม้แต่เสียงปลอบประโลมที่คนเป็นพี่พร่ำบอกอยู่ข้างหูก็แทบไม่ได้ยิน


“ไม่ต้องกลัว หายใจลึกๆ” มือก็ลูบไปตามสีข้าง ปากก็กดจูบลงข้างขมับ คริสขบกรามแน่นจนเป็นสันนูนขึ้นแต่ก็ต้องใจเย็นไว้เพราะชานยอลบีบรัดเขาแน่นเกินไป


“เจ็บ ผมเจ็บ!” ทำได้แค่ร้องบอกเสียงสั่นเพราะอีกคนยังคงเสือกไสตัวเองเข้ามาเรื่อยๆ จนสุดแล้วนิ่งค้างไว้อย่างนั้น ทั้งเจ็บทั้งจุกจนสมองตื้อไปหมด ชานยอลไม่มีทางเลือกนอกจากจะเงยหน้าสูดหายใจลึกๆ ตามที่อีกคนบอกแต่ก็ไม่ดีขึ้น


ใบหน้าเหยเกส่ายไปมา ทรมานจนเกือบจะส่งเสียงสะอื้นออกมาถ้าร่างสูงไม่ก้มลงแตะจูบบนริมฝีปากซะก่อน เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆ แต่มันกลับก้องเข้าไปในหู


“อย่าเกร็ง ชานยอล”


“ฮ..” ชื่อตัวเองในประโยคคำสั่งนั้นทำให้เจ้าของมันกำผ้าปูที่นอนเหนือศีรษะแน่น


อยากจะคิดว่านี่คือความฝัน


ฝันไปว่าเขากำลังเป็นฝ่ายโดนกระทำ


ให้ปาร์คชานยอลที่กำลังร้องครวญครางหมดทางเลือกอยู่ตอนนี้เป็นแค่ฝันไป


“ไหวรึเปล่า?”


“อย่า.. อย่าเพิ่ง” แววตาสั่นระริกเมื่อคริสทำท่าจะขยับสะโพก






“ครั้งแรกสินะ” สองแขนแกร่งค้ำตัวเองลงกับที่นอนเพื่อมองหน้าชานยอลชัดๆ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าสีหน้าเอาเรื่องนั้นมันกระตุ้นเขาแปลกๆ


“...” หลับตาข่มความอัปยศเอาไว้แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว ไม่อยากเห็นสายตาที่กำลังสนุกของคนตรงหน้า ขมวดคิ้วแน่นและยิ่งเบียดหน้าซุกลงกับต้นแขนตัวเองเมื่อสิ่งที่อยู่ในกายเริ่มเคลื่อนไหวเข้าออก


“หันมาหน่อย”


คนได้ยินหลับหูหลับตานอนนิ่ง กลั้นหายใจแล้วผ่อนออกแรงๆ ราวกับไม่ได้ยิน คริสเอื้อมมือขึ้นไปคลายปมเข็มขัดที่พันธนาการอีกคนไว้ด้วยมือเดียว


“เร็ว”


สั่งสั้นๆ ก่อนจะกดสะโพกเร็วขึ้นและลึกขึ้นกว่าเดิมพาให้ส่วนนั้นดันเข้ามากระทบกับจุดอ่อนไหวในตัวชานยอลรุนแรงต่อเนื่อง ผวาเฮือกเข้าหาคนตรงหน้า สองมือที่เพิ่งได้รับอิสระเกาะยึดไหล่กว้างเอาไว้แน่น


“อ๊า.....ห อื้อ ..อื้อ” คิดไว้ว่าจะลืมตาแล้วด่าด้วยคำเจ็บๆ ซักคำสองคำ แต่ความตั้งใจเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องที่ชานยอลเองก็ยากจะควบคุมไม่ให้มันหลุดรอดออกมา


ยกหลังมือขึ้นมาปิดปากก็ถูกอีกคนดึงไปพาดไว้กับลำคอหนา จะเม้มแน่นแค่ไหนสะโพกแกร่งก็เร่งจังหวะกดย้ำถี่รัวจนต้องอ้าปากเงยหน้าผ่อนลมหายใจหอบหนัก


“อืม..”


เสียงฮึมฮำในลำคอเหมือนเจ้าตัวมีความสุขเหลือเกินดังอยู่ใกล้ๆ ทำให้ชานยอลทั้งโกรธทั้งอาย สาบานได้ว่าหลุดจากตรงนี้เมื่อไหร่ชานยอลจะขอชกหน้าไอ้เฮียเวรตะไลนี่ซักที


“อ่ะ อ้ะ.. เฮีย.. ช ช้าหน่อย”


“ไม่ได้แล้ว”


คริสหมายความตามนั้นจริงๆ ร่างหนายันตัวเองไว้ด้วยมือเดียว แล้วกลางลำตัวของชานยอลก็ถูกกอบกุมไว้ ขยับสาวขึ้นลงสวนกับจังหวะที่กายแกร่งขยับเข้าหาแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงสูดปากดังขึ้นคลอไปกับเสียงหอบฮั่กของชานยอล


จนเมื่อร่างเล็กกว่าทิ้งตัวลงกับเตียง ขยำทึ้งผ้าปูที่นอนแล้วกระตุกตัวอย่างแรงเมื่อทุกอย่างถูกปลดปล่อย ปลายเท้างองุ้มลามไปถึงกล้ามเนื้อภายในช่องทางอุ่นร้อนที่ขมวดตัวแน่นกว่าเดิมพาให้คนที่ยังไม่ถึงฝั่งต้องเร่งสาวสะโพกถี่ๆ และไม่นานก็เกร็งตัวกดสะโพกเข้าไปแช่ค้างไว้ให้ลึกที่สุดฉีดพ่นของเหลวสีขุ่นเข้าไปในตัวอีกคน


“อ่าห์ / อื๊อออ”


ส่งเสียงออกมาแทบจะพร้อมกันก่อนที่คริสจะถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงซุกหน้าลงบนบ่าของคนใต้ร่าง สูดอากาศปรับลมหายใจกันอยู่พักหนึ่งกว่าจะกลับมาเป็นปกติ แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกถึงแรงดันที่ไหล่


“เฮีย”


“...”


“นี่”


“...”


“คริส!”


“ครับ?”



เป็นคำขานรับที่สุภาพแต่น่าฆ่าที่สุดของโลกใบนี้



“ออกไป”


ร่างสูงหัวเราะเบาๆ ยันตัวขึ้นสบตากับลูกแก้วกลมใสที่เหมือนจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ ลมหายใจแอบสะดุดเมื่อได้พิจารณาคนตรงหน้าชัดๆ


ใบหน้าและลำคอซับสีเลือดจากกิจกรรมที่เพิ่งผ่านพ้นไป ริมฝีปากสีพีชแวววาวเพราะถูกเคลือบด้วยน้ำใส ไหนจะรอยจูบตามไหปลาร้าและแผ่นอกขาวๆ นั่นอีก


กระพริบตาเรียกสติเมื่อโดนชกเข้าที่ไหล่ นึกขำกับการกระทำตัวเองแล้วยืดตัวขึ้นกดจูบแรงๆ บนริมฝีปากอิ่ม ค่อยๆ ถอนกายที่เชื่อมกันอยู่ออก ส่งผลให้ชานยอลสูดปากแล้วเบือนหน้าหนีเพราะความแสบ


ตาคมมองภาพนั้นพร้อมกับความวูบหวามที่ก่อตัวขึ้นในอก


แต่ในเมื่ออีกฝ่ายออกปากไล่แล้ว คริสจะยอม..

































ยอมปล่อยไปได้ยังไงล่ะ




ส่วนนั้นที่ควรจะหลุดออกจากช่องทางของชานยอลกลายเป็นกดแทรกเข้ามาใหม่จนเจ้าของร่างสะดุ้งเพราะความจุก ตวัดสายตาวาวโรจน์ขึ้นไปมองก็พบเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนที่มันจะพร่าเบลอเพราะใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้จนกลายเป็นไร้ช่องว่างไปในที่สุด


หมดสิทธิพูดเพราะโดนตะโบมจูบช่วงชิงลมหายใจ ได้แต่ส่งเสียงอื้ออึงอยู่ในคอ


หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืนเมื่อคริสเริ่มขยับสะโพกสร้างจังหวะวาบหวามอีกครั้ง


ร้อนแรงและล้ำลึกมากขึ้นเรื่อยๆ


ทุกสัมผัสและทุกการเคลื่อนไหว


มอมเมาให้ล่องลอย


จนสุดท้ายแล้วคริสก็กลายเป็นผู้นำทางอย่างสมบูรณ์แบบ


“ฮ่ะ.. อ๊ะ เฮีย”


จับจูงอีกคนไปสู่ห้วงอารมณ์ที่ไม่เคยรู้จัก หลอกล่อให้ตอบสนองโดยไม่รู้ตัว


“ค.. อึก คริส”






และเป็นอยู่อย่างนั้น






ทั้งคืน..




















FIN.









ได้ยินเสียงเหมือนอะไรหัก

.

.

.

อ๋อ



ธงเมะชานยอล



#ฟิคเฮียหักธง






[OS] That boy - minwon

Title: That boy
Paring: Mingyu x Wonwoo [SEVENTEEN]
Author: PAR






-------------------------------------------------------------






“…อู”


“....” นั่นใครอ่ะ


“วอนอู!”


“...” ทำไมหล่อ


“จอนวอนอู!!!”


“โอ้ย!” ซี้ดด


อะไรวะเนี่ย!


“เชี่ยไรเนี่ยซึงชอล!” อยู่ดีๆมาตบกูทำไมวะเฮ้ย


“เรียกไม่ขาน ถามว่ามองอะไร จะไปกินมั้ยข้าวอ่ะ” แม่งถามกูตอนไหนวะ..


จิ้ปากแล้วเบือนหน้าหนี หันไปมองจุดเดิมที่ละสายตามาก็พบกับความว่างเปล่า


ไปแล้ว..


“ยัง ยังอีก” ฮึ่ย ขอกรอกตาซักสามร้อยรอบ


“เออไปๆ แม่ง พลาดเลย” มีอย่างที่ไหนกูเจออาหารตาดีๆมาตบซะวิ๊ง คลาดกันเลยเห็นมั้ย


“พลาดอะไรอ่ะ?”


เลือกที่จะส่ายหน้าเป็นคำตอบให้จีซูก่อนจะออกเดินนำไปยังโรงอาหาร พอหาที่นั่งเสร็จสรรพก็อาสาเป็นคนนั่งจองโต๊ะแล้วฝากซึงชอลซื้อข้าว แว่วเสียงด่าว่ากินแรงเพื่อนแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก


ทำโทษที่มึงทำให้กูคลาดสายตาจากน้องคนนั้น


ไม่ใช่อะไร อยู่มาสองปีไม่เค้ยไม่เคยจะเจอใครหน้าตาดีขนาดผู้ชายคนเมื่อกี้มาก่อนในมหาวิทยาลัย ดูอย่างพวกที่เดินๆอยู่ด้วยกันนี่ซิ เห็นสาวน้อยและฟลาวเวอร์บอยหลงใหลได้ปลื้มกันนักหนา ในขณะที่กูคิดว่า มันหล่อตรงไหน


ล้อเล่น ก็หน้าตาดีแหละ แต่ก็เห็นจนเบื่อแล้วไง อีกอย่างสำหรับจอนวอนอูแบบพวกมันนี่ไม่ได้เรียกว่าหล่อ แต่มีสวย เท่ น่ารัก อะไรก็ว่าไป


อย่างว่าแหละ สเป็คคนเรามันไม่เหมือนกัน


จอนวอนอู ชอบเข้มๆ ..แบบน้องคนเมื่อกี้ ต้องอยู่ปีหนึ่งแน่ๆ


เป็นที่ฟ้าบังเอิญหรือตั้งใจ มันเกิดขึ้นจริงๆหรือฝันไป เดินออกมาจากห้องเรียนจะไปกินข้าวกลางวันเหมือนปกติชีวิต สมองกำลังคิดว่าจะกินกะเพราหมูกรอบหรือก๋วยเตี๋ยวดี สายตาก็ไปป๊ะกับใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำชาย


เห็นแล้วอยากอุทานเป็นคำหยาบ


กูว่ากูหล่อละนะ แต่น้องคนนั้นแม่ง..


สองขาก้าวเดินแต่มือคว้าไปจับชายเสื้อซอกมินที่เดินอยู่ข้างหน้าโดยอัติโนมัติกันไม่ให้ตัวเองเดินหลงกับเพื่อนหรือไปสะดุดอะไรเข้า สายตาเอี้ยวกลับไปมองเด็กหนุ่มคนนั้นไม่วางตา


ใจเต้นอ่ะ บอกเลย


แต่ก็นั่นแหละ เหมือนสวรรค์แกล้ง ซึงชอลดันมาฟาดผัวะเข้ากลางกระหม่อม เพิ่งมองได้แปบเดียวเอง ถ้าได้เจออีกสัญญาว่าจะมองให้ทะลุ


ถ้าน้องบอกว่าพี่มองหน้าหาเรื่องใช่มั้ย พี่ก็จะถามว่าเอาเรื่องไหน เรื่องของพี่หรือเรื่องของเรา


“โต๊ะนี้มีคนนั่งมั้ยครับ”


เพ้อไปเรื่อยก็มีเสียงถามดังขึ้นข้างๆ พอเงยหน้าขึ้นไปมองเท่านั้นแหละ เหมือนมีหมัดหนักๆชกเข้าที่หน้าอก มือขวาเผลอจิกขอบโต๊ะ พอแก้วแม่แก้ว ..น้องคนนั้นว่ะ


สูดหายใจเข้ากระพริบตาสามที เสียงล่ะ เสียงกูไปไหน ลองกระแอมแล้วยกหลังมือขึ้นเช็ดปากก่อนจะเค้นเสียงตอบออกไป


“ไม่มีครับ นั่งเลย”


วิ๊ง.. วิ๊งแล้วตอนนี้ เสียงทุ้มแบบเท่ๆ ที่บอกขอบคุณยังไม่พีคเท่าน้องเขาเล่นยิ้มจนเห็นเขี้ยว


โอ้โหจังหวะนี้ขอยาดม ลุกลี้ลุกลนอยู่สักแปบจีซูกับซึงชอลก็เดินกลับมาที่โต๊ะ เผ่นครับ กูเผ่นก่อนเลย ขอถอยไปตั้งหลักแปบ มองไกลๆ ว่าหล่อแล้วพอได้เห็นใกล้ๆ นี่อยากเอาส้อมในจานข้าวเพื่อนมากระซวกอกตัวเองยื่นหัวใจให้น้องเขาไปเลย


ยืนลูบหน้าตัวเองอยู่ตรงร้านไก่ย่างสักพักก็สูดหายใจลึกๆ แล้วเดินไปซื้อข้าว ระหว่างต่อแถวแอบเขย่งมองโต๊ะตัวเอง


ฉิบหายหนัก


ทำไมพวกมึงต้องเว้นที่ไว้ให้กูนั่งติดน้องเขาอ่ะ เห็นแบบนี้เก่งระยะไกลนะครับ ถ้าให้เข้าใกล้ขนาดไหล่แทบจนชนไหล่นี่กูเหมือนถ่านหมดนะ ที่พูดดีไปตอนแรกนั่นล้อเล่น เรื่องของพี่เรื่องของเราอะไรไม่มีทั้งนั้น


ได้ข้าวแล้วด้วยเนี่ย พยายามเดินให้ช้าๆ ขอทำใจก่อน มันแบบ ตื่นเต้นอ่ะ จะเก็บอาการได้มั้ย ถ้ากินข้าวหกเลอะเทอะทำไง ถ้าทำส้อมหล่นทำไง ถ้าหันไปมองบ่อยๆ จนน้องเขารู้ตัวทำไง


ยากละ กูยากละ เดินวนกลับไปอ้อมโรงอาหารซักรอบดีมั้ยเผื่อน้องเขาจะกินเสร็จพอดี.. ก็บ้าละ ทำได้ที่ไหน


นั่งก็นั่งวะ!


.


.


.


.


แม่ มันใกล้มากอ่ะ


ใกล้ไป คือน้องเขาตัวใหญ่ด้วยไง นั่งอยู่ตรงนี้กูสูงเท่าหูบนน้องเขาเองมั้ง โอ้ชิท โอ้ชิท


“เป็นไรวะมึง” ซึงชอลที่กินไปได้แล้วครึ่งจานเงยหน้าขึ้นมาถามเพราะเห็นว่าไม่ตักกินซักที นี่ก็เม้มปากมองหน้าเพื่อนแบบขอความช่วยเหลือสุดๆ เห็นคำว่าเมเดในสายตากูมั้ย เห็นมันมั้ย


“แดกเร็วๆ คาบบ่ายมีประชุมชมรมนะเว่ย เดี๋ยวสาย” ฮือ ไอ้เพื่อนเหี้ย


ประเด็นคือกลิ่นน้ำหอมน้องเขาลอยมาถึงเนี่ย ไม่กงไม่กินมันละข้าวอ่ะ จิ้มหมูกรอบกินอย่างเดียวพอ ไม่มีกะจิตกะใจจะเคี้ยว สองหูเงี่ยฟังเสียงน้องเขาคุยกับเพื่อน บางทีก็มีหัวเราะบ้าง ซึ่งเสียงหัวเราะ โคตร น่า รัก


ไม่ไหวแล้วจริงๆ จุดนี้ต้องบอกใครซักคน มันอัดอั้น มันกดดัน ว่าแล้วเท้ายื่นไปสะกิดซึงชอลที่นั่งอยู่ตรงข้าม มันสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามอง จ้องหน้ามันแล้วเม้มปากขมวดคิ้วนิดๆ ช่วยที ช่วยกูที


“เป็นไร ปวดขี้?”


“ไอ้สัส เปล่า”


“เอ้า ละเป็นไร ดูทำหน้า” สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วกรอกตาไปด้านข้างเร็วๆ ตรงที่น้องเขานั่งอยู่


คนนี้แหละซึงชอล น้องคนนี้ชีวิตกูมีปัญหา มึงช่วยกูที


แต่คนที่กำลังสื่อสารกับมันทางสายตาดูจะยังไม่ค่อยเข้าใจ ขมวดคิ้วฉับมองมาแบบ อะไรของมึง คือตากูจะเหล่แล้วเพื่อน เข้าใจเถอะนะ อ่ะเดี๋ยวกูส่งซิกให้อีกซักสองที ชี้ด้วยสายตาว่าน้องคนนี้กำลังเป็นภัยต่อหัวใจกู


ในที่สุดมันก็เก็ท อ้าปากหว๋อพูดว่าอ๋อแบบไม่มีเสียงแล้วเงยหน้าขำ ไอ้ฉิบหาย เตะขาแม่งอีกซักที มีอะไรน่าขำวะ ช่วยกูสิ ช่วยกู


“วอนอู สลับที่กันหน่อยดิ กูจะเอาคลิปให้จีซูดู” ฮ่า!


จุดนี้กูลุกอย่างไว โดดข้ามโต๊ะได้ก็จะทำ แต่ติดตรงที่ทำไม่ได้เลยเดินอ้อมแทน นึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่ายังไงก็ได้ ขอให้ไม่ใช่ที่ข้างๆน้องเขา ทีนี้แหละใจจะได้สงบลง..


























ซะที่ไหนล่ะวะ!




แม่งเอ๊ยย


นั่งข้างๆ ว่าบรรลัยแล้ว นั่งเยื้องกันงี้ยิ่งกว่าบรรลัย


ทำไมน่ะเหรอ ก็ขนาดยังนั่งไม่เต็มตูดดีน้องแกเล่นเงยหน้าขึ้นมามองแล้วผงกหัวให้เฉย ประเด็นคือยิ้มด้วย ยิ้มทำไม ยิ้มเพื่ออะไร ถึงกับเสียหลัก คือเกือบหงาย เกือบได้เอาจานข้าวไปคว่ำใส่หัวคนข้างหลัง


นั่งลงปุ๊บก็ถอนหายใจโคตรแรง หมูกรอบจ๋าพี่ขอลาก่อน พี่เจอคนที่ดีกว่าเธอแล้ว พี่อยากจะกินเขาแทนเธอจริงๆ อย่านะ อย่าให้กล้าขึ้นมา พี่จะนั่งเท้าคางมองจนกว่าน้องจะกินเสร็จ มองมุมเยื้องแบบนี้ยิ่งหล่อ โฮลี่ชิท


“งือ” ซุกหน้าลงกับหลังมือแม่ง ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น


คงเสียสติไปแล้วจริงๆ มานั่งเขินคนไม่รู้จักเป็นบ้าเป็นอยู่คนเดียว ให้ตายเถอะ ยังดีที่ไอ้พวกเพื่อนมันคุยเรื่องเกมกัน เลยถือโอกาสเงยหน้าขึ้นมาผสมโรงคุยด้วย จะได้ไม่ประหม่ามาก แต่ก็แอบมองเป็นระยะชนิดที่ห้ามสายตาตัวเองไม่ได้ แทบจะกัดลิ้นตัวเองตายเวลาที่น้องเค้ายิ้มค้างหันมาสบตากันพอดี


คว่ำโต๊ะได้หรือไม่


เห้ยน้อง แม่ไม่ว่าเหรอทำตัวแบบนี้ ไม่เอาดิครับ ไม่ดี ปีหนึ่งต้องใส่ไทด์ทุกวันตามระเบียบไม่ใช่เหรอ ทำไมน้องไม่ใส่มา ปลดกระดุมเม็ดบนสุดแถมพับแขนเสื้อแบบนี้อ่อยพี่ใช่มั้ย พูด


แล้วปากนั่นจะเลียอะไรนักหนา แห้งได้แห้งดีใช่มั้ย ไหนมาจูบซักทีเผื่อมันจะชุ่มชื้นขึ้น มีการแซวเพื่อนแรงๆ จนนี่แอบฟังเงียบๆ ยังอดขำตามไม่ได้ ปากดีเหลือเกิน


กูเนี่ย


ปากดีเหลือเกิน


“มึง ไปยัง” ไม่ไหวแล้วจริงๆ นาทีนี้ต้องสะบัดหัวไล่ความคิดแล้วออกปากเร่งเพื่อน ถ้านั่งต่อไปอีกแค่นิดเดียวอาจจะโดนผีห่าซาตานมาเข้าสิงให้ตบโต๊ะดังๆ ซักทีแล้วบอกน้องเขาว่า น้องครับ เป็นแฟนกันป่ะ


ซึ่งไม่ดี


ขนาดลุกออกมาแล้วก็เหมือนรู้สึกเหมือนถูกมอง สะกิดถามซอกมินก็ได้คำตอบว่าน้องมองมาจริงๆ จ้องเลยด้วย มิน่า หลังนี่เจ็บไปหมดแล้ว ไม่ใช่เข้าใจว่าที่มองหน้าบ่อยเพราะหาเรื่องเหรอนั่น ถ้าเป็นงั้นนี่หมาเลยนะ เพราะความเป็นคนหน้านิ่งๆ มองก็มองนิ่งๆ จะโดนตั๊นหน้าเพราะเข้าใจว่ามองหาเรื่องมาหลายคนแล้วไงไม่ใช่อะไร


แต่ ณ ตอนนี้น้องเขาไม่ลุกตามมาคว้าคอไปชกหน้าก็ถือว่าคงไม่ได้เข้าใจแบบนั้น


ซอกมินกับจีซูคงยังงงๆ อยู่ว่าเพื่อนตัวเองเป็นอะไร มึงไม่ต้องฉงนอะไรใดๆเว่ย เพื่อนมึงแค่เจอสิ่งเร้าดาเมจรุนแรง บอกก็ไม่พอใจด้วยนะ พอแวะร้านกาแฟใต้ตึกเรียนมีการหันไปถามซึงชอล ห่านี่ก็เล่าซะกูเสีย


“มันจะเป็นอะไร แค่ธาตุเคะแตก” ปากมึงดิจะแตก


“เป็นเอามาก” จีซูที่ถือว่านานๆ จะด่าใครถึงกับพูดใส่


โอ้โหจี๊ด มันจี๊ด เดี๋ยวหลังแหวนแม่ง มึงลองมาเจอแบบกูมั่งมั้ยล่ะ พอจบ เลิกคุย กูงอน สั่งกาแฟปั่นมากิน ตัดการสนทนา คุยกับหลอดยังรู้สึกดีกว่าคุยกับพวกมึงบอกเลย


มือถือกูอยู่ไหนอยากโทรหาแม่มาก อยากบอกวันนี้เจอของดี



“วอนอู” หึ ไม่ต้องมาเรียก กูเล่นตัว



“ขอโทษนะครับ” น่ะ ทำเป็นพูดเพราะ มีการสะกิดไหล่ด้วย กูไม่หัน กูงอน



“พี่ครับ” หืม? พี่?



จังหวะนี้ต้องหันแล้ว เพราะสรรพนามที่เปลี่ยนไปนี่รู้แน่แล้วว่าไม่ใช่เพื่อนตัวเอง ใครวะ





.


.


.


.


.


.


.


.


.



“น้อง..”









“ครับ ผมเอง”










FIN








บรัยย์ 5555555555555555555555555555


จบค่ะ จบจริง ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน


มันไม่มีอะไรเลย สนองนี๊ดตัวเองล้วนๆ


#ฟิคมวแดทบอย